"ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะไปได้ไกลขนาดนี้ ผมแค่อยากต่อยมวยเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว ไม่คิดว่ามวยไทยจะพาผมไปได้ไกลถึงระดับโลก" นี่คือคำพูดของ เมย์-อนุลักษณ์ จันทร์สุข หรือชื่อในการชกมวย "สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง" ยอดนักคิกบ็อกซิ่งชาวไทย ที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังโกอินเตอร์ไปถึงเวทีระดับโลก การันตีด้วยเข็มขัดแชมป์มวยรอบ คุนหลุนไฟต์ (Kunlun Fight) 3 เส้น, แชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง อู่หลินเฝิ่ง (Wu Lin Feng) รวมถึงเขายังเป็นคนไทยคนแรกที่ได้แชมป์โลก คิกบ็อกซิ่ง ของ GLORY ซึ่งเป็นองค์กรคิกบ็อกซิ่งรายการใหญ่ระดับโลก สิทธิชัย บอกกับเราว่าครั้งแรกที่ออกไปต่อยคิกบ็อกซิ่งในต่างประเทศ ด้วยวัยอายุ 17 ย่าง 18 ปี ตอนนั้นเขาเป็นแค่นักมวยไทยพื้น ๆ ที่ไม่ได้มีจุดเด่นจุดขายอะไร แต่วันเวลาสิบกว่าปีที่เขาเรียนรู้ไม่หยุดยั้ง ก็ผลักดันให้เขามายืนถึงจุดนี้ได้ เขายกให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สุดยอดนักฟุตบอลชาวโปรตุกีส เป็นนักกีฬาต้นแบบที่เขาอยากดำเนินรอยตาม และยืนระยะรักษามาตรฐานการชกในระดับสูง ให้ได้ยาวนาน เหมือนอย่างที่ "CR7" ยังคงแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยม แม้อายุล่วงเลยมาถึงวัย 36 ปีก็ตาม ทราบว่าคุณเริ่มต้นชกมวยไฟต์แรกตอนอายุ 11 ขวบ ด้วยผลการแข่งขันที่ไม่น่าจดจำนัก อะไรทำให้ นักมวยที่แพ้น็อกตั้งแต่ชกมวยไฟต์แรก มาได้ไกลถึงขนาดนี้ ผมชกมวยไฟต์แรกก็แพ้น็อกเลย แต่ผมไม่ได้รู้สึกท้อนะ เรารู้ตัวว่าแพ้เพราะประสบการณ์เราน้อยกว่า คู่ต่อสู้เขาต่อยมาเป็น 10 ครั้งแล้ว ก็บอกกับตัวเองต่อไปจะฝึกซ้อมให้ดีกว่าเดิม จะพัฒนาตัวเองให้เป็นมวยมากกว่านี้ ผมก็เลยเป็นคนที่ซ้อมหนักมาตั้งแต่เด็ก แสดงคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการฝึกซ้อม เพราะเชื่อฝีมือคนเราพัฒนากันได้ หากซ้อมดี ซ้อมดี ใช่ครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดมาตั้งแต่เด็กเลยว่า ต้องซ้อมให้เต็มที่ เพราะผมมีความฝันอยากเป็นนักมวยอาชีพ อยากชกมวยหาเลี้ยงครอบครัว ถ้าผมไม่ขยันซ้อม ไม่ตั้งใจ ก็คงไปถึงความฝันยาก หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา คุณก็ก้าวมาเป็น นักมวยไทยดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และมีโอกาสได้ไปต่อยคิกบ็อกซิ่งในต่างประเทศ ตั้งแต่อาย 17 ปี ตอนนั้นคิดว่าตัวเองจุดเด่นอะไรที่ทำให้โปรโมเตอร์ต่างชาติสนใจ ไม่เลยครับ ผมไปในฐานะไม้ประดับกลุ่ม เป็นแค่มวยรองบ่อน เพราะรายการนั้นมีนักมวยไทยเก่ง ๆ ทั้ง พี่อนุวัฒน์ แก้วสัมฤทธิ์ (อดีตยอดมวยถ้วยพระราชทาน - นักมวยไทยยอดเยี่ยมแห่งปี) และ ฟาบิโอ ปินก้า ที่มีชื่อเสียงดังมาก ไม่มีใครคิดหรอกว่าผมจะชนะมวยรอบครั้งนั้นได้ เพราะผมเป็นแค่มวยพื้น ๆ ไม่ได้มีจุดเด่นอะไร เขาติดต่อมาให้ไปต่อยต่างประเทศก็อยากไปลองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ แค่นั้น ตอนไปถึงฝรั่งเศส ผมตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยเจอสภาพอากาศที่หนาวขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยสัมผัสกับหิมะ ยังถามตัวเองอยู่เลยว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้ไงวะ" จำได้ว่าก่อนแข่ง ผมซ้อมหนักมาก อยากโชว์คนดูได้เห็นว่าเราก็มีดีนะ หมัดมวยมันก็เหมือนกล้วยปิ้ง พลิกไปพลิกมาได้ สุดท้ายเราก็ทำได้จริง ๆ แจ้งเกิดจากมวยรอบครั้งนั้นเลย และได้มีโอกาสไปต่อยคิกบ็อกซิ่งในต่างประเทศอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายก็เลือกมาเดินสายนี้เต็มตัว เริ่มมีความคิดอยากเปลี่ยนสายไปต่อยคิกบ็อกซิ่งเต็มตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เคยคิดเลยครับ แต่ลึก ๆ เคยมีความฝันอยากเป็นพี่บัวขาว (บัญชาเมฆ) เพราะตอนผมยังเด็ก ผมติดตามดูพี่บัวขาว สมัยชก K-1 ซึ่งถือเป็นรายการคิกบ็อกซิ่งระดับโลก ที่จัดในประเทศญี่ปุ่น ผมมานั่งคิดว่า พี่บัวขาวก็เป็นนักมวยไทยเหมือนเรา ถึงแม้จะต่อยในกติกาคิกบ็อกซิ่ง แต่พี่เขาก็ทำได้ สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ชาวต่างชาติ ก้าวไปถึงแชมป์โลกได้ เราอยากเป็นแบบพี่บัวขาวบ้าง แต่ผมไม่คิดหรอกว่าวันหนึ่งผมจะยืนอยู่บนจุดนั้นได้ คิดแค่ว่าหากวันหนึ่งมีโอกาสได้ไปลอง ก็อยากไปสัมผัสกับคิกบ็อกซิ่งในต่างประเทศเหมือนกัน คุณใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะกลายเป็นนักคิกบ็อกซิ่งที่เก่งในระดับโลก เพราะในอดีตที่ผ่านมา มีนักมวยไทยมากมาย ยามผันตัวไปต่อยคิกบ็อกซิ่งในต่างแดน กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จเหมือนตอนชกมวยไทย นานครับ ต้องปรับค่อนข้างเยอะมาก ผมใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าออกอาวุธปรับตัวให้ชินกับกติกา การออกอาวุธแบบคิกบ็อกซิ่ง เพราะมวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง มีเกณฑ์การให้คะแนนแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง คิกบ็อกซิ่ง ไม่ให้ใช้ศอก หรืออย่างการใช้เข่า คิกบ็อกซิ่ง จะแทงเปล่า คือ ยกเข่าขึ้นมาแทงเลย ไม่ต้องจับคู่ต่อสู้ ส่วนมวยไทยจังหวะตีเข่าเน้นการปล้ำจับตี ช่วง 2 ปีแรกที่หัดคิกบ็อกซิ่ง ผมยอมรับเลยว่าไม่ชิน เพราะเรายังติดลูกมวยไทย จนตอนหลังก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกอย่างผมชอบทำการบ้าน ชอบหาดูเทปการชกของนักคิกบ็อกซิ่งต่างชาติ เพื่อศึกษาสไตล์การชกของแต่ละคน บางอย่างของเขา เราก็สามารถหยิบมาใช้ปรับกับสไตล์มวยไทยแบบเรา ช่วง 5 ปีที่ต้องทนฝึกแบบนั้นมันเป็นความรู้สึกอย่างไร ? ค่อนข้างอึดอัด คือมันไม่ได้ยากมาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจค่อนข้างเยอะ ทั้งเรื่องการให้คะแนน ต้องเรียนรู้ว่าทำไมกรรมการถึงเตือนเรา ทำไมเราเตะไป 10 ครั้งจัง ๆ คะแนนไม่ขึ้น อ๋อ เพราะคิกบ็อกซิ่งเน้นเรื่องหมัดด้วย เราต้องมาฝึกซ้อมเสริมหมัดเข้าไป มันมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกหลายจุด ที่ต้องค่อย ๆ ปรับสไตล์เราให้เข้ากับกีฬาคิกบ็อกซิ่ง ช่วงแรกคุณชกคิกบ็อกซิ่งฝั่งเอเชียเป็นหลักก่อน จากนั้นก็ย้ายไปเซ็นสัญญากับองค์กร GLORY ที่ดังมากในยุโรป และไม่เคยมีคนไทยได้แชมป์โลกมาก่อนเลย อะไรทำให้คุณตัดสินใจไปหาความท้าทายที่ยากเช่นนั้น หลังจากต่อยในเมืองจีนไปได้สักระยะ ผมก็เริ่มหาชกยากแล้วครับ เลยลองข้ามฝั่งมาทางยุโรปดู ตอนแรกที่ย้ายมาชกใน GLORY ก็ค่อนข้างกังวลใจเรื่องกติกา เพราะมันมีรายละเอียดที่แตกต่างจากคิกบ็อกซิ่งฝั่งเอเชีย เช่น ที่นี่ห้ามจับขา ดังนั้นวิธีป้องกันก็ต้องเปลี่ยนไป เรื่องหมัดที่ได้คะแนนเยอะ ก็ต้องปรับมาใช้หมัดมากกว่าเดิม บรรยากาศคนดูในสนามก็ไม่เหมือนกัน ฝั่งยุโรปเขาจะนิยมคิกบ็อกซิ่งมากกว่า ผมต่อยครั้งแรกจำได้เลยว่า คนดูนี้เข้ามาชมกันสุดลูกหูลูกตาเลย เหมือนเป็นกีฬาการต่อสู้หลักของที่นี่เลย (เนเธอร์แลนด์) อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องสภาพแวดล้อม ฝั่งเอเชียอากาศไม่ได้ต่างกับไทยมาก ปรับตัวง่ายกว่า ส่วนฝั่งยุโรป รวมถึงอเมริกาปรับตัวยากมาก ผมเคยไปต่อยที่อเมริกา เกิดอาการ Jet Lag ซ้อมไม่ได้เลย 3 วัน คิดในใจว่า "กูจะมีแรงต่อยไหมวันชกจริงไหมวะ ?" (หัวเราะ) บางครั้งคนก็สงสัยว่าทำไมนักมวยไทยที่เก่ง ๆ พอออกไปต่อยนอกบ้านแล้วไม่ค่อยชนะ มันก็มีปัจจัยพวกนี้แหละมาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งเรื่อง สภาพอากาศ กติกาการกชก วิธีการให้คะแนนที่แตกต่าง ก็ทำให้ปรับตัวได้ยาก บางคนก็ปรับตัวไม่ได้เลย ทั้งที่ตอนต่อยมวยไทย เขาเก่งมาก แต่คุณก็ปรับตัวได้ จนประสบความสำเร็จเป็นคนไทยคนแรกที่ได้แชมป์โลก GLORY และป้องตำแหน่งได้ถึง 6 สมัย ตอนนั้นเป็นช่วงพีกของผม ร่างกายดีด้วย การฟิตซ้อมถึง ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหมด เจอใครได้หมดเลย แต่ข้อเสียของ GLORY คือ นักมวยเขาไม่เยอะมาก เวลาป้องกันแชมป์ก็เจอแต่คู่ชกคนเดิม ๆ วนไปวนมา เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เทียบแล้วสมัยต่อยมวยไทยบ้านเรา ผมกดดันมากกว่านะ เพราะกังวลว่าออกอาวุธแบบนี้แล้วจะแพ้ไหมวะ ? มันมีเรื่องของราคาต่อรองมาบีบนักมวยด้วย แต่เวลาผมออกไปต่อยประเทศ ผมรู้สึกว่าตัวเองออกอาวุธได้เป็นธรรมชาติ ไม่กดดัน ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเกร็ง แล้วข้อดีของการเป็นนักมวยไทยที่ชาวต่างชาติไม่มี ยามออกไปชกคิกบ็อกซิ่งในระดับโลก คงเป็นความหนักแรงของอาวุธที่คนไทยสามารถทำให้คู่ต่อสู้ยุบ เพราะคนไทยเราเตะหนัก บางครั้งเตะแขนจนเขาต่อยหมัดไม่ได้ ก็มี เพราะฝรั่งเขาไม่ได้เตะหนักเหมือนคนไทย เขาเน้นเตะทำแต้ม อีกอย่างคือกระดูกมวยเราแข็งกว่าครับ จังหวะเตะประสานแข้ง เขาเจ็บ เราไม่เจ็บ เขาสู้เราไม่ได้ ส่วนเรื่องหมัดต้องยอมรับว่าเป็นจุดที่คนไทยเป็นรองชาวต่างชาติ เพราะเขาฝึกกันมาตั้งแต่เด็ก ออกหมัดได้ดีและเป็นธรรมชาติกว่าคนไทย นักมวยไทยส่วนใหญ่พออายุแตะวัย 30 ปี ก็เริ่มโรยราและเลิกชกไปค่อนข้างเยอะ ต่างจากนักคิกบ็อกซิ่งที่ส่วนมากยืนระยะได้ยาวนานกว่า และเท่าที่เห็น ตอนนี้คุณอายุ 30 ปี แต่สภาพร่างกายยังดูดีอยู่เลย การออกไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ช่วยให้คุณได้เห็นหรือเรียนรู้อะไรมาปรับใช้กับตัวเอง คงเป็นเรื่องการดูแลตัวเองครับ เพราะนักมวยต่างชาติเขาเน้นการซ้อมที่ถูกวิธี มีวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วย มีเรื่องของโภชนาการ มีทีมงานเข้ามาดูแล ก็เลยทำให้เขายืนระยะได้ยาวนานกว่านักมวยไทย อย่าง (คริสเตียโน่) โรนัลโด้ นี่ไอดอลผมเลย เขาเป็นต้นแบบที่ดีมาก ไม่ใช่แค่นักฟุตบอล แต่นักมวยก็น่าเรียนรู้และศึกษาจากเขา ทำไมถึงชอบ โรนัลโด้ ? โหพี่ … ใครจะไม่ชอบ โรนัลโด้ บ้างละ ? ขนาดเขาอายุ 36 ปี แต่ยังพลิ้ว วิ่งเหมือนเด็ก ๆ อยู่เลย พละกำลังร่างกายดี ความสามารถในการเล่นฟุตบอลไม่มีตกเลย เพราะเขาดูแลตัวเองดีมาก ซีเรียสเรื่องอาหารการกิน แม้ว่าอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังเป็นนักฟุตบอลที่ดูเก่งมาก ๆ อยู่เลย ผมก็อยากทำให้ได้แบบเขาบ้าง สมัยนี้นักมวยไทยมีโอกาสต่อยอดไปต่อยคิกบ็อกซิ่งได้มากกว่ายุคอดีต ในฐานะคนที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน มีคำแนะนำอะไรอยากทิ้งท้ายถึงน้อง ๆ นักชกรุ่นหลัง ที่อาจอยากเดินตามรอยคุณ ถ้าน้องอยากเอาดีทางคิกบ็อกซิ่ง ก็ต้องหันมาฝึกคิกบ็อกซิ่งเต็มตัวเลย เพราะของอย่างนี้มันได้อย่าง เสียอย่างอยู่แล้ว น้องต้องยอมเหนื่อย ยอมอดทนหน่อย เพื่อจะได้ชกให้ถูกหลัก ต่อยให้ถูกกติกาเขา แต่ผมมองว่า เด็กนักมวยไทยสมัยนี้เก่งเยอะ เก่งกันค่อนข้างเร็ว น้อง ๆ นักมวยรุ่นหลัง ความสามารถ สมองมวยดีกว่ารุ่นพวกผม ถ้าน้องตั้งใจผมมั่นใจว่า เด็กรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จได้แน่นอน เพราะดูอย่างผม ผมมาจากนักมวยพื้น ๆ ที่ไม่ได้เก่งอะไรเลย แต่ผมไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ให้ความสำคัญกับการซ้อมมาตลอด มันก็จะทำให้เราพัฒนาขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ